top of page

การเล่นอาชีพ (สโมสร)

สปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล

เยาวชน

ในช่วงที่โรนัลโดอายุ 8 ขวบ โรนัลโดได้เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลอังดูรีญา ซึ่งบิดาของเขาเป็นผู้จัดการทีมของสโมสรแห่งนี้ ในปี 1995 โรนัลโดได้ทำสัญญากับสโมสรฟุตบอลท้องถิ่นคือ สโมสรฟุตบอลนาซียูนัล และได้เล่นให้กับสโมสรนี้เป็นเวลา 5 ปี แล้วได้ย้ายไปอยู่กับสปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล (สปอร์ติงลิสบอน) ในช่วงปี 1997 และได้สำเร็จการเล่นฟุตบอลเยาวชนให้กับในประเทศของตน

ทีมชุดใหญ่

 

สปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล ยกย่องโรนัลโดในฐานะผู้เล่นดาวรุ่งที่ดีที่สุดของสโมสร[34] โดยนำเสื้อและของที่ระลึกมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์

ในปี 2002 โรนัลโดในวัย 17 ปี ได้ย้ายมาเล่นให้กับสปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล เนื่องจากในช่วงนั้นสโมสรฟุตบอลชื่อดังในโปรตุเกสได้เห็นความสนใจของโรนัลโดมากมายแต่เขาเลือกที่จะมาอยู่กับสปอร์ติงลิสบอน โดยโรนัลโดได้ลงเล่นเป็นตำแหน่งกองหน้า โรนัลโดโชว์ฝีเท้าได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นการหลบหลีกคู่ต่อสู้ การแย่งชิงบอล การยิงจากระยะไกล และการทำประตูอย่างแม่นยำ ทำให้โรนัลโดในช่วงนั้นโด่งดังไปทั่วในทวีปยุโรป และเขายังมีจุดเด่นที่มีทักษะในการครองบอลและมีความคล่องตัวสูง และได้รับการเลื่อนขั้นจากทีมเยาวชนมาสู่ทีมชุดใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว เขาลงสนามในทีมชุดใหญ่นัดแรกในเกมปรีไมราลีกาที่สปอร์ติงพบกับบรากาในวันที่ 29 กันยายน 2002 ก่อนจะทำได้สองประตูในนัดทีมเอาชนะโมไรเรนเซ่ 3–0 ในวันที่ 7 ตุลาคม[35]

ด้วยการเล่นและทักษะอันโดดเด่นนี้เอง ทำให้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมชื่อดังของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในพรีเมียร์ลีก ได้สนใจที่จะนำโรนัลโดมาร่วมทีม[36] ซึ่งการเจรจาซื้อตัวโรนัลโดก็เป็นที่สำเร็จโดยดำเนินการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากในขณะนั้นมีผู้จัดการทีมชื่อดังหลายคนสนใจจะเซ็นสัญญากับโรนัลโด รวมถึง อาร์แซน แวงแกร์ และ เฌราร์ อูลีเย โดยก่อนที่เขาจะออกจากประเทศโปรตุเกส โรนัลโดเล่นให้กับสปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล ไปทั้งสิ้น 31 นัด ทำไป 5 ประตู โดยทางสโมสรได้รวบรวมผลงานของโรนัลโดอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของทีมเพื่อเป็นเกียรติประวัติให้แก่เจ้าตัวอีกด้วย[37]

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (2003–09)

"ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีนักเตะเพียงไม่กี่คนที่ได้รับการยกย่องว่าจะเป็น จอร์จ เบสต์ คนต่อไป หลังจากได้เห็นโรนัลโดลงเล่น ทำให้เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกจริง ๆ ว่านั่นคือการชมเชยความสามารถของผม"

—จอร์จ เบสต์ ตำนานสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กล่าวยกย่องโรนัลโดจากการลงสนามนัดแรกใน ค.ศ. 2003[38]

โรนัลโดได้ย้ายมาอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ ในฤดูกาล 2003–04 และเป็นนักเตะดาวรุ่งที่มีค่าตัวสูงที่สุดในขณะนั้น เขาไดรับการยกย่องให้เป็นผู้เล่นดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในขณะนั้น[39] รวมทั้งเป็นนักเตะโปรตุเกสคนแรกของสโมสร เขาได้รับเสื้อหมายเลข 7 ทันทีในฤดูกาลแรกซึ่งเป็นหมายเลขของตำนานสโมสรหลายคน อาทิ จอร์จ เบสต์ เอริก ก็องโตนา และ เดวิด เบคแคม[40] โรนัลโดลงสนามนัดแรกในเกมพรีเมียร์ลีกที่พบกับโบลตันวอนเดอเรอส์ โดยเขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนนิกกี บัตต์ ซึ่งยูไนเต็ดชนะ 4–0 ก่อนจะทำประตูแรกได้จากลูกฟรีคิกในนัดที่ทีมชนะพอร์ตสมัท 3–0 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2003 เขาใช้เวลาไม่นานนักในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ลีก และผลงาน 8 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ซึ่งรวมถึงประตูแรกในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพกับมิลล์วอลล์ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ได้จากการชนะ 3–0[41] ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีเซอร์แมตต์ บัสบี ประจำฤดูกาล และได้รับการยกย่องจากแกรี เนวิลว่าจะเป็นผู้เล่นระดับโลกในอนาคตอันใกล้[42]

ในฤดูกาลที่สอง เขาทำผลงานได้ไม่ดีเท่ากับปีแรก หลังจากที่จบฤดูกาลด้วยการลงสนาม 50 นัด แต่ทำได้เพียง 9 ประตู โดยโรนัลโดเป็นผู้ทำประตูที่ 1,000 ของยูไนเต็ดในเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ทีมบุกแพ้มิดเดิลส์เบรอ 1–4[43] และยูไนเต็ดจบฤดูกาลโดยไม่ได้แชมป์รายการใด และแพ้จุดโทษอาร์เซนอลในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ[44]

ต่อมา ในฤดูกาล 2005–06 โรนัลโดก็เรียกฟอร์มเก่งของตัวเองมาได้อีกครั้งในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง ด้วยการทำ 12 ประตู จากการลงสนาม 47 นัด ยูไนเต็ดทำได้เพียงรองแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ยังได้แชมป์ลีกคัพ เอาชนะวีแกน 4–0 ซึ่งโรนัลโดทำได้หนึ่งประตู[45] และเขายังคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของฟิฟโปร ซึ่งเป็นรางวัลเดียวที่ให้แฟน ๆ เป็นผู้ลงคะแนนโหวตตัดสิน และในปีเดียวกันเขาก็ได้อันดับที่ 20 ในตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าด้วย อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์ที่สร้างความลำบากแก่โรนัลโด โดยเขาถูกยูฟ่าแบนจากการชูนิ้วกลางใส่แฟนบอลของสโมสรเบนฟิกาซึ่งเป็นอริของสโมสรสปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล[46] และได้รับใบแดงในเกมพรีเมียร์ลีกที่ทีมบุกไปแพ้แมนเชสเตอร์ซิตี 1–3 จากการเจตนาเตะใส่แอนดรูว์ โคล[47] รวมถึงการมีปัญหาขัดแย้งกับ รืด ฟัน นิสเติลโรย[48] เพื่อนร่วมทีมที่วิจารณ์รูปแบบการเล่นของโรนัลโด และยังกล่าวว่าโรนัลโดนั้น "ได้รับการปกป้องจากสโมสรและเซอร์ อเล็กซ์มากเกินไป" ซึ่งนั่นเป็นชนวนไปสู่การย้ายร่วมทีมเรอัลมาดริดของ ฟัน นิสเติลโรย ในฤดูกาลต่อมา

ในฟุตบอลโลก 2006 โรนัลโดถูกแฟนบอลอังกฤษรุมโห่ไล่หลังจากที่มีส่วนทำให้เวย์น รูนีย์ เพื่อนร่วมทีม ต้องถูกไล่ออกในเกมที่อังกฤษพบกับโปรตุเกส[49] โรนัลโดถูกสื่อในอังกฤษกดดันและต่อว่า โดยหนังสือพิมพ์ของประเทศอังกฤษ ได้ลงข่าวว่าโรนัลโดจะย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจากเหตุการณ์ดังกล่าว[50] เขาได้ถูกกล่าวลงในหนังสือกีฬาประจำวันของประเทศสเปนว่าจะย้ายไปร่วมทีมเรอัลมาดริด[51] และเมื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมได้ทราบข่าวจึงได้ส่งผู้ช่วยผู้จัดการทีมการ์ลุช ไกรอชมาพูดคุยกับโรนัลโดและเปลี่ยนความคิดของเขาในการย้ายทีม[52][53] โรนัลโดตัดสินใจอยู่กับทีมต่อไป และต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปอีก 5 ปี ในเดือนเมษายน 2007

ในฤดูกาล 2006–07 ถือเป็นปีที่โรนัลโดยกระดับการเล่นและก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับโลก เขาทำไป 17 ประตูในลีกช่วยให้ยูไนเต็ดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ และยังทำผงานโดดเด่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกช่วยให้ทีมเอาชนะโรมาด้วยผลประตูรวมสองนัด 8–3[54] แต่ยูไนเต็ดแพ้เอซีมิลานในรอบรองชนะเลิศ[55] โรนัลโดยังพาทีมเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพได้ แต่แพ้เชลซี 0–1 เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีก รวมถึงนักฟุตบอลยอดเยี่ยมโดยผู้ชื่นชอบของพีเอฟเอ และ นักฟุตบอลดาวรุ่งแห่งปีของพีเอฟเอ โดยเป็นผู้เล่นรายที่สองในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้ารางวัลเกียรติยศทั้งสองมาครองในฤดูกาลเดียวกัน ต่อจาก แอนดี เกรย์ เมื่อปี 1977 และยังได้รับรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอล รวมถึงรางวัลผู้เล่นแห่งปีเซอร์แมตต์ บัสบีและมีชื่ออยู่ในอันดับสองการประกาศรางวัลบาลงดอร์ รวมถึงอันดับสามในการประกาศรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า ในปีนี้โรนัลโดได้พัฒนาการเล่นขึ้นมาอย่างมากเนื่องจากเขาได้รับการฝึกสอนโดย เรเน่ เมอเลินสเตน หนึ่งในทีมผู้ฝึกสอนชุดใหญ่ที่เซอร์ อเล็กซ์ให้ความไว้วางใจ

bottom of page